Category Archives: บทความ

ประเพณีลอยกระทงมีจุดประสงค์อะไร? และเกี่ยวข้องกับนางนพมาศอย่างไร?

ประเพณีลอยกระทงมีจุดประสงค์อะไร? และเกี่ยวข้องกับนางนพมาศอย่างไร? นางนพมาศคือใคร? ประเพณีลอยกระทงเป็นประเพณีไทย ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณกว่า 700 ปีมาแล้ว ตั้งแต่กรุงสุโขทัยเป็นราชธานี  โดยรูปแบบในปัจจุบันมักจะมีการจัดมหรสพ ร้านค้า แสดงแสงสี และเป็นงานที่เน้นความบันเทิงเป็นส่วนใหญ่ มีการประกวดเทพีนพมาศ แต่น้อยคนนักที่จะเข้าใจถึงประเพณีลอยกระทงว่ามีที่มาและมีจุดประสงค์ในเรื่องอะไร รวมถึงเรื่องนางนพมาศนั้นเป็นมาอย่างไร เกี่ยวข้องอย่างไรกับประเพณีลอยกระทง และผมเองก็เช่นกัน ที่ไม่มีความรู้เรื่องราวความเป็นมาเกี่ยวกับประเพณีลอยกระทงเลย รู้เพียงแต่ว่าเป็นประเพณีที่งดงามของไทยมานาน และผมก็ได้ ร่วมงานประเพณีลอยกระทงอยู่บ่อยครั้ง ส่วนมากก็ไปดูแสงสี งานมหรสพ งานแสดงต่างๆ เท่านั้น ในใจก็เหมือนเป็นการพักผ่อนกับเพื่อนๆมากกว่า ผมจึงลองค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับประเพณีลอยกระทงเพิ่มเติม เพื่อว่าอาจจะเกิดประโยชน์ และเข้าใจเรื่องราวได้ดีขึ้นบ้าง ผมได้เปิดอ่านหนังสือ “ตามรอยพระพุทธบาท” เล่มที่ 1 โดยพระอาจารย์ชัยวัฒน์ อชิโต ซึ่งท่านได้เขียนอธิบายเรื่องราวเกี่ยวกับประเพณีลอยกระทงไว้ละเอียดพอสมควรเลยครับ ซึ่งตามเนื้อหาจะเกี่ยวข้องถึงการบูชารอยพระพุทธบาทของคนในสมัยโบราณ ผมจึงขออนุญาตเรียบเรียงข้อมูลมาสรุปไว้คร่าวๆ เพื่อจะเป็นบันทึกความจำไว้ต่อไป จุดเริ่มต้นและจุดประสงค์ของประเพณีลอยกระทง ตามหลักฐานจากหนังสือ เขียนไว้ว่า จุดเริ่มต้นของประเพณีลอยกระทง เกิดขึ้นในสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ประมาณ พ.ศ. 1830 ซึ่งยุคนั้นเป็นยุครุ่งเรืองของกรุงสุโขทัยอย่างมาก ประชาชนมีความสุข และบ้านเมืองเจริญอย่างสูงสุด และตามบันทึกก็บันทึกไว้ว่า พ่อขุนรามคำแหงมหาราชเป็นพระมหากษัติริย์พระองค์แรก ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “มหาราช” ด้วยทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจอันทรงคุณประโยชน์แก่แผ่นดิน ทรงรวบรวมอาณาจักรไทยจนเป็นปึกแผ่นกว้างขวาง ทั้งยังได้ทรงประดิษฐ์ตัวอักษรไทยขึ้น ทำให้ชาติไทยได้สะสมความรู้ทางศิลปะ วัฒนธรรม และวิชาการต่าง ๆ สืบทอดกันมากว่า 700 ปี ในสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี มีพระราชประเพณีหนึ่งที่เรียกว่า “จองเปรียง” ในวันเพ็ญเดือน 12… Read More »

ร่วมทำบุญครั้งยิ่งใหญ่กับพระเจ้าอยู่หัวด้วยการเป็นเจ้าของ เหรียญที่ระลึกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงผนวช พลังแผ่นดิน

ร่วมทำบุญครั้งยิ่งใหญ่กับพระเจ้าอยู่หัวด้วยการเป็นเจ้าของ เหรียญที่ระลึกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงผนวช พลังแผ่นดิน เชิญร่วมทำบุญกุศลครั้งยิ่งใหญ่กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยการร่วมบริจาคเพื่อเป็นเจ้าของเหรียญที่ระลึก เหรียญที่ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยต้นแบบ และมีพระบรมราชานุญาตให้จัดสร้างขึ้นเป็นพิเศษ มีจำนวนทั้งสิ้น 10 ล้านเหรียญ สั่งจองในราคาเพียง 100 บาท จากการเปิดเผยของนายธวัธชัย ทวีศรี อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย ประธานผู้ริเริ่มโครงการ กล่าวว่า จุดประสงค์คือเพื่อหารายได้ทูลเกล้าฯ ถวาย และบริจาคให้โรงพยาบาลสงฆ์ ซึ่งเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่จะได้ร่วมทำบุญกับพระเจ้าอยู่หัวของเรา และต้องการให้ชาวไทยมากที่สุดได้มีโอกาสเป็นเจ้าของ และเป็นจุดรวมพลังแห่งแผ่นดิน ซึ่งปัจจุบันเราคงรู้กันดีว่ามีความแตกแยกอยู่บ้าง “โครงการเหรียญที่ระลึกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงผนวชพลังแผ่นดินและพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงผนวช” เป็นโครงการมหากุศล จัดทำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยความจงรักภักดี อยากให้เป็นสิ่งยึดใจคนไทย พกติดตัวไว้ตลอด และเพื่อให้คนไทยได้มีโอกาสทำบุญร่วมกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะรายได้จากการบริจาคจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย และบริจาคให้กับโรงพยาบาลสงฆ์ จุดเด่นพิเศษของเหรียญที่ระลึกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงผนวช พลังแผ่นดิน เหรียญที่ระลึกนี้ เป็นเหรียญมหามงคลอย่างยิ่งเพราะเป็นเหรียญที่พระองค์มีพระบรมราชวินิจฉัย ด้วยพระองค์เอง โดยด้านหน้าเหรียญมีพระนามของพระองค์ และพระฉายา เมื่อครั้งทรงผนวชที่ว่า “ภูมิพโล” ซึ่งมีความหมายว่า “พลังแผ่นดิน” ส่วนด้านหลัง สลักพระนาม “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ “ และรูปอัฏฐบริขาร ด้านล่างสลักว่า “ทรงผนวช ๒๒ ตุลาคม ๒๔๙๙” หลักการและเหตุผลในการจัดสร้างเหรียญที่ระลึกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงผนวช พลังแผ่นดิน ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ทรงปฏิบัติพระองค์เจริญรอยตามพระยุคลบาทแห่งสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ ทรงเป็นพุทธมามกะและเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภกอย่างเคร่งครัดดังปรากฏเป็นที่ประจักษ์ชัด… Read More »

กินเจ อย่างไรให้ได้บุญเต็มๆ

กินเจ อย่างไรให้ได้บุญเต็มๆ เข้าสู่เทศกาลกินเจกันแล้ว หลายๆคนก็เตรียมตัวและรอคอยวันดีๆนี้อย่างใจจดใจจ่อ ถ้าจะกล่าวถึงความเชื่อต่างๆ เป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนอย่างมาก และผมก็มักจะเห็นกระทู้ที่ตั้งขึ้นมาถกเถียงกันในเรื่อง “การกินเจได้บุญจริงหรือ” อยู่เป็นประจำ ในฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยก็ต่างงัดเอาหลักความคิดและหลักฐานต่างๆ ขึ้นมาเป็นประเด็นหักล้างความคิดของฝ่ายตรงกันข้ามอยู่เสมอๆ  ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เรื่องความเชื่อ เราไม่สามารถลบล้างความคิดกันได้หรอกครับ เพียงแต่เราจะหาจุดสมดุลตรงไหนดีเท่านั้นเอง และสุดท้ายผมก็คิดว่าอย่าไปก้าวก่ายความคิดกันจะดีที่สุด โดยให้คิดไปแนวทางบวก มองผู้ที่คิดต่างว่าเข้าอาจจะคิดไปแนวทางอื่นๆ ที่มีเจตนาดีซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไรไปเลย เนื่องจากเรื่องนี้ละเอียดอ่อนมาก ผมจึงค้นคว้าหาข้อมูลเป็นการอ้างอิงและสรุปออกมา เพื่อเป็นแนวความคิดที่เป็นกลางๆ โดยสรุปสุดท้ายว่าใครใคร่ที่จะกินเจก็กินกันไป ใครใคร่ไม่สนใจกินเจ ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิด ก็แล้วกันนะครับ ผมได้เปิดอ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ “มังสวิรัติ ในทัศนะท่านพุทธทาสภิกขุ พร้อมด้วยทัศนะของพระราชวรมุนี”  ซึ่งมีรายละเอียดที่ค่อนข้างชัดเจน ความรู้สึกของผมเมื่ออ่านดูแล้ว ก็ดูเป็นกลางดีครับ   ทัศนะเรื่องมังสวิรัติของท่านพุทธทาสภิกขุ และพระราชวรมุนี จากรายละเอียดในหนังสือมีบันทึกค่อนข้างยาว จึงขอสรุปให้อ่านง่ายกันดังนี้ 1. สำหรับภิกษุสงฆ์เป็นผู้ที่ขอเลี้ยงชีพ ไม่ได้ให้ยึดติดว่าอาหารที่รับมาจากบิณฑบาตจะเป็นอะไร เมื่อมีผู้ถวายต้องรับ ยกเว้นว่ารับรู้ว่าเนื้อนั้นเกิดจากการฆ่าเพื่อนำมาถวาย เช่น ได้รับรู้ว่าไก่ตัวนี้ ถูกฆ่ามาเพื่อบิณฑบาตโดยตรง แต่ถ้าไม่รู้อันนี้ไม่ถือว่าผิดวินัย 2. ผู้ที่ถือมังสวิรัติ ควรได้รับคำชื่นชมของผู้อื่นเท่านั้น แต่ด้วยหลักธรรมไม่ถือว่ามีธรรมที่สูงกว่าผู้กินเนื้อ 3. ผู้ที่ถือมังสวิรัติ ควรระลึกตนอยู่เสมอว่า ไม่ได้ประเสริฐไปกว่าคนกินเนื้อ เนื่องจากคนมีหลากหลาย ไม่สามารถที่จะเลือกกินได้ แต่สำคัญว่าจะมีกินหรือเปล่า จึงเป็นเหตุว่า การถือมังสวิรัติไม่ได้เป็นปัจจัยหลักว่าประเสริฐกว่าใคร 4. การถือมังสวิรัติ ไม่ได้ถือเป็นการดำรงตนในศีล แต่เป็นข้อวัตรที่ถือปฏิบัติกันมา ซึ่งอาจจะเป็นการส่งเสริมในข้อศีลนั้นๆให้มั่นคงได้เช่นกัน    สรุปโดยเนื้อหา จากหนังสือ จะเป็นทัศนะ ให้เราดำรงตนให้เหมาะสม… Read More »

เชิญร่วมทำบุญ สร้างพระพุทธไสยาสน์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ที่วัดป่าสว่างบุญ เจดีย์ 500 ยอด สระบุรี

https://youtu.be/35UtrnJciX0 เชิญร่วมทำบุญ สร้างพระพุทธไสยาสน์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ที่วัดป่าสว่างบุญ เจดีย์ 500 ยอด สระบุรี จากบทความเดิมที่ผมได้เดินทางไปเที่ยวที่วัดป่าสว่างบุญ โดยมีจุดเด่นอยู่ที่พระเจดีย์ 500 ยอด สีทองอร่าม หรือ พระมหารัตนโลหะเจดีย์ศรีศาสนโพธิสัตว์สว่างบุญ  นอกจากพระมหาเจดีย์อันสวยงามดังกล่าวแล้ว ทางวัดป่าสว่างบุญ โดยหลวงพ่อสมชาย ปุญญมโน เจ้าอาวาส ก็ได้มีโครงการดำเนินการสร้างพระพุทธสี หไสยาสน์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีขนาดความสูงเท่าตึก 16 ชั้น ( 1 ชั้น ประมาณ 3 เมตร) ยาว 159 เมตร ซึ่งต้องใช้งบประมาณสูง โดยมีพระนามว่า “พระมหาจักรพรรดิพุทธสว่างบุญ” เพื่อจารึกเป็นประวัติศาสนาบนแผ่นดินไทยว่ามีความรุ่งเรืองทางด้านพระพุทธศานาอย่างสูงสุด อีกทั้งเป็นการสร้างกุศลอันยิ่งใหญ่เพื่อบูชาคุณของพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนพระธรรม ให้ชาวโลกได้ดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องและเป็นสุข โครงการก่อสร้างนี้ เป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ของคนไทยทั้งประเทศที่จะได้มีโอกาสร่วมสร้างกุศลด้วยกัน ผมจึงได้ขอมาแจ้งบุญกุศลนี้ต่อท่านผู้อ่านทุกๆคน ที่สนใจ โดยหลวงพ่อสมชาย ได้ทำการจัดสร้างวัตถุมงคล “พระสมเด็จพ่อมหาจักรพรรดิ” เพื่อมอบให้เป็นที่ระลึกแก่ผู้ร่วมทำบุญกุศลนี้   ความเป็นมาของพระพุทธรูปปางไสยาสน์ พระพุทธรูปปางไสยาสน์นี้ หรือปางโปรดอสุรินทราหู เป็นพระพุทธรูปอยู่ในอิริยาบถ นอนตะแคงขวา พระบาททั้งสองข้างซ้อนทับเสมอกัน พระหัตถ์ซ้ายทาบไปตามพระวรกาย พระหัตถ์ขวาตั้งขึ้นรับพระเศียรและมีพระเขนย (หมอน) รองรับ บางแบบพระเขนยวางอยู่ใต้พระกัจฉะ (รักแร้) ลักษณะเดียวกับปางปรินิพพานและปางทรงพระสุบิน หรือเรียกโดยทั่วไปว่าพระปางไสยาสน์ พระพุทธรูปปางไสยาสน์นี้ เรียกกันอีกชื่อคือ “ปางโปรดอสุรินทราหู”  (พระราหู) ซึ่งมีเรื่องราวเมื่อครั้งสมัยพุทธกาลที่พระพุทธองค์แสดงปาฏิหาริย์ปราบ ทิฏฐิขององค์พระราหู  ผู้เป็นราชาครองอสูร… Read More »

ผู้ใดปรารถนาจะอุปัฏฐากเราตถาคต ผู้นั้นพึงรักษาภิกษุป่วยไข้เถิด

ผู้ใดปรารถนาจะอุปัฏฐากเราตถาคต ผู้นั้นพึงรักษาภิกษุป่วยไข้เถิด ถ้าจะกล่าวถึงพระพุทธศาสนา พุทธศาสนิกชนทั้งหลายส่วนมากจะนึกถึงพระพุทธองค์ ที่เป็นพระศาสดาเผยแพร่หลักธรรมให้แก่สัตว์โลกทั้งหลาย หลักธรรมคำสั่งสอนนั้นพระองค์นั้นล้วนเป็นความจริง แม้ไม่มีพระพุทธองค์ หลักธรรมก็ยังเป็นจริงอยู่เสมอ สำหรับผู้ที่มีความศรัทธาและเชื่อในหลักคำสอนของพระพุทธองค์ จึงมักดำเนินชีวิตและมีแนวทางที่สอดคล้องตามหลักคำสอน และค้นหาข้อมูล เพื่อให้ตนเองดำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้องที่สุด คำสอนของพระพุทธองค์จะสอนในเรื่องให้กระทำความดี ละเว้นความชั่วและทำจิตใจให้บริสุทธิ์ แต่การดำเนินชีวิตในปัจจุบันบางครั้ง พุทธศาสนิกชน หลายๆคนก็ยังอาจเผลอที่ทำผิดศีลไปบ้าง อีกทั้งเวลาในการทำงานที่ต้องใช้มากขึ้น เวลาเดินทางมากขึ้น จึงไม่ค่อยที่จะมีเวลาในการปฏิบัติธรรมมากนัก  พุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่จึงได้ใช้เวลาในวันหยุดหรือใช้ปัจจัยที่ตนเองมีอยู่ในการทำบุญ เพราะสะดวกและง่ายในการทำความดี แต่การทำความดี ก็มีระดับของบุญกุศล จากหนังสือวิธีสร้างบุญบารมี ของสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาปริณายก ได้กล่าวว่าการสร้างความดีแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ ระดับต่ำคือการให้ทาน ระดับกลางคือการรักษาศีล ระดับสูงคือการบำเพ็ญสมาธิ สำหรับปุถุชนอย่างเราๆ โดยทั่วไปจึงเน้นการทำบุญที่ง่าย คือการให้ทานเป็นหลัก หลายๆคนคงจะคิดว่าแล้วการให้ทานแบบใดจึงจะให้ผลที่ดี เป็นเนื้อนาบุญที่ดี และเป็นการทำบุญอย่างชาญฉลาด ดังนั้นวันนี้ผมจึงได้ค้นหาข้อมูลของพุทธพจน์ที่ว่า “ผู้ใดปรารถนาจะอุปัฏฐากเราตถาคต ผู้นั้นพึงรักษาภิกษุป่วยไข้เถิด”  เพื่อมาแชร์ให้ทราบว่าที่มาเป็นเช่นไร มีความสำคัญอย่างไร และคำสอนนี้จะนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร พุทธพจน์นี้มาจากคำบาลีว่า  “โย ภิกขเว มํ อุปฏฐเหยย โส คิลานํ อุปฏฐเหยย”  เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าต่อพระภิกษุทั้งหลาย และให้เป็นระเบียบปฏิบัติกันมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ที่มาของคำสอน วันหนึ่งที่วัดพระเชตวันมหาวิหาร  พระพุทธองค์ได้ทรงเสด็จ โดยทั่วไปในบริเวณวัดและผ่านพระภิกษุทั้งหลาย พร้อมทั้งให้ธรรมะแก่พระภิกษุเหล่านั้น จากนั้นพระพุทธองค์ได้เสด็จผ่านกุฏิหลังหนึ่ง แล้วหยุดอยู่ที่นั่น และทรงตรัสถามพระอานนท์ว่า “ด้านในกุฏินั้นมีใครอยู่” พระอานนท์ได้กราบทูลว่า “ด้านในกุฏินั้น มีพระภิกษุติสสะ อยู่พระพุทธเจ้าข้า” พระพุทธองค์จึงเสด็จเข้าไปภายในกุฏิ… Read More »

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระพุทธรูปประจำวัน สำหรับผู้ที่จำวันเกิดไม่ได้

เมื่อเร็วๆนี้ หลายๆคนคงจะได้เห็นการแชร์รูปเกี่ยวกับพระพุทธรูปประจำวันเกิด ในสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งในแต่ละวัดก็มักจะเห็นพระพุทธรูปปางประจำวันเกิดอยู่โดยทั่วไป แต่ก็เกิดประเด็นร้อนขึ้นมา ในเรื่องที่เกี่ยวกับผู้ที่จำวันเกิดไม่ได้จะมีพระพุทธรูปปางประจำวันในปางใด ซึ่งจากรูปที่ปรากฏจะเป็นพระพุทธรูปในอริยาบทที่ไม่ค่อยจะคุ้นเคยกันนัก ส่งผลให้เกิดการแชร์ไปบนโลกออนไลน์กันอย่างรวดเร็ว อีกทั้งมีหลายๆคนก็คิดไปต่างๆนานาๆ ว่าพระพุทธรูปปางนี้มีอยู่จริงหรือไม่ บางคนก็คิดไปในแง่ที่ไม่ถูกต้อง และก็มีบางส่วนที่หาข้อมูลและก็ทราบความจริงว่าเป็นเช่นไร แท้จริงแล้วรูปพระพุทธรูปที่เราไม่คุ้นเคยกันนัก นั่นคือ “พระพุทธรูปปางพระเกศธาตุ” และก็มีการสร้างอยู่จริง ตามบันทึกจากหนังสือ “ตำนานพระพุทธรูปปางต่าง ๆ” นิพนธ์ของ พระพิมลธรรม ราชบัณฑิต (ชอบ อนุจารีมหาเถร)   พระพุทธรูปประจำวันเกิดของผู้จำวันเกิดไม่ได้ คือพระพุทธรูปปางใด ในเรื่องที่มาที่ไปเกี่ยวกับพระพุทธรูปประจำวันเกิดนั้น มีมานานแล้วตั้งแต่สมัยโบราณแต่ในเรื่องการบันทึกของพระพุทธรูปประจำวันเกิดสำหรับผู้ที่ไม่ทราบวันเกิดนั้นไม่มีบันทึกที่แน่นอน แต่ผมคิดว่าน่าจะไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของเทวดาประจำวันเกิดตามความเชื่อก็ได้ ตามความเชื่อเกี่ยวกับเทวดาประจำวันเกิดที่เราคุ้นเคยกันนั้นก็จะทราบกันดีว่า ผู้ที่จำวันเกิดไม่ได้จะมีเทวดาประจำตัวคือ “เทวดาพระเกตุ”  นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทางสถานที่แห่งนั้นได้จัดตั้งพระพุทธรูปประจำวันเกิดสำหรับผู้ที่จำวันวันเกิดไม่ได้เป็น “พระพุทธรูปปางพระเกศธาตุ” ซึ่งมีคำที่พ้องเสียงกัน สำหรับบางตำราก็ได้กล่าวไว้ว่า พระพุทธรูปประจำวันสำหรับผู้ที่จำวันเกิดไม่ได้นั้น คือ “พระพุทธรูปปางมารวิชัย”   พระพุทธรูปปางพระเกศธาตุ อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายหงายวางบนพระเพลา ยกฝ่าพระหัตถ์ขวาขึ้นแนบพระเศียร เป็นกิริยาเสยพระเกศา   พระพุทธรูปปางพระเกศธาตุ มีเรื่องราวประวัติและตำนานดังนี้ หลังจากที่พระพุทธองค์ได้เสร็จการเสวยแล้ว ตปุสสะ และ ภัลลิกะ ซึ่งมีอาชีพพ่อค้า ได้กราบทูลว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าทั้งสอง ขอถึงพระองค์กับพระธรรมเป็นสรณะ ขอพระองค์จงทรงทราบว่า ข้าพระพุทธเจ้าทั้งสองเป็นอุบาสก ในพระพุทธศาสนาตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าอวสานแห่งชีวิต ขอกราบทูลขอสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งควรแก่การอภิวาทในยามอนุสรณ์ถึงพระมหากรุณาธิคุณในกาลเบื้องหน้าต่อไป” ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระมหากรุณา จึงยกพระหัตถ์เบื้องขวาขึ้นลูบพระเศียรเกล้าฯ ได้พระเกศามา 8 เส้น มีสีดุจแก้วอินทนิล… Read More »