ผมได้มีโอกาสดินทางไปท่องเที่ยวที่ จ.กาญจนบุรี และได้ลองค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ จึงมีความสนใจที่จะเดินทางไปยังปราสาทเมืองสิงห์ และโบราณสถานเมืองครุฑ หลายท่านคงคุ้นเคยกับปราสาทเมืองสิงห์ เพราะเป็นโบราณสถานที่ยังปรากฏโครงสร้างขนาดใหญ่ แต่โบราณสถานเมืองครุฑ หลายท่านก็อาจจะไม่เคยรู้จักมาก่อน ซึ่งผมก็มีความสนใจจะเดินทางไปด้วยเช่นกัน และได้ทราบมาว่าเส้นทางจะไปยังเมืองครุฑ จะอยู่ห่างจากปราสาทเมืองสิงห์ราว 10 กิโลเมตร ผ่านเส้นทางลูกรัก เข้าสู่ซากโบราณสถานที่รายล้อมไปด้วยขุนเขา ปรากฏร่องรอยคันดินและรากฐานศิลาแลง
ก่อนไปยังเมืองครุฑ ผมจะพาทุกท่านไปยังปราสาทเมืองสิงห์กันเสียก่อน ซึ่งตั้งอยู่ที่ ต.สิงห์ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี มีคูเมืองคันดินและกำแพงเมืองศิลาแลงล้อมรอบ สร้างขึ้นตามลักษณะขอมแบบบายน ราวพุทธศตวรรษที่ 18 หรือตรงกับสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7
นักวิชาการส่วนใหญ่ ได้นำหลักฐานทางโบราณคดีที่ได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมเขมรโบราณ ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 เชื่อมโยงกับข้อความตอนหนึ่งในศิลาจารึกปราสาทพระขรรค์ ซึ่งปรากฏชื่อเมืองที่สันนิษฐานว่าตั้งอยู่ทางภาคกลางและภาคตะวันตกของไทย จึงอาจมีนัยยะสำคัญในการแผ่ขยายอำนาจทางการเมืองของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7
แต่ก็มีนักวิชาการอีกกลุ่มหนึ่ง ได้สันนิษฐานว่า เขตภาคกลางและภาคตะวันตกของไทย ไม่มีความเกี่ยวข้องกับอำนาจทางการเมืองของเขมรโบราณ ปราสาทเมืองสิงห์เป็นเพียงการสร้างที่ได้รับอิทธิพลทางด้านวัฒนธรรมเขมรเท่านั้น เช่น ในทัศนะของอาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ในหนังสือข้อขัดแย้งเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย และ อาจารย์พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ ตีพิมพ์ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม เดือนเมษายน พ.ศ.2530
หลังจากที่ผมได้ท่องเที่ยวที่ปราสาทเมืองสิงห์แล้ว จึงได้เดินไปชมประติมากรรมครุฑหินทรายขนาดใหญ่ ที่ได้นำมาจากโบราณสถานเมืองครุฑ แล้วนำมาตั้งไว้บริเวณลานจอดรถของอุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ มีความสูงราว 3 เมตร ซึ่งถือได้ว่าเป็นประติมากรรมครุฑแบบลอยตัวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ประติมากรรมนี้ไม่มีเศียร จึงน่าจะถูกลักขโมยไปก่อนที่เจ้าหน้าที่จะลงพื้นที่นำเก็บเข้ามา
เมื่อเรามาชมครุฑกันแล้ว ต่อไป เราจะเดินทางไปสู่โบราณสถานเมืองครุฑ ซึ่งเมื่อค้นหาสถานที่บน Google Earth จะพบว่าโบราณสถานนี้ ตั้งอยู่ท่ามกลางขุนเขา ได้แก่ เขาครุฑ เขาแก้วน้อย และเขาแก้วใหญ่ จากรายงานการสำรวจทางโบราณคดีเมื่อปี พ.ศ.2534 บันทึกว่า เมืองครุฑปรากฏร่องรอยคันดิน 3 ด้าน คือทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก ส่วนทิศตะวันตกเป็นปราการธรรมชาติคือเขาครุฑ กลางเมืองครุฑปรากฏร่องรอยฐานโบราณสถานที่ทำจากศิลาแลง มีโบราณวัตถุสำคัญคือประติมากรรมครุฑ ที่ได้พาไปชมแล้วก่อนหน้านี้ ส่วนโบราณวัตถุอื่นๆแทบไม่หลงเหลือให้เห็น คงจะถูกลักลอบออกไป เพราะพื้นที่ค่อนข้างห่างไกล
การเดินทางจะผ่านทางลูกรัง รายล้อมไปด้วยไร่มันสำปะหลัง ไร่อ้อย และพืชเกษตรกรรมอื่นๆ เมื่อขับรถตาม GPS มาเรื่อยๆ ก็จะมองเห็นขุนเขาครุฑเบื้องหน้า เป็นสัญลักษณ์ว่าใกล้เข้าสู่เขตเมืองโบราณแล้ว ซึ่งผมจอดรถบริเวณที่เป็นคันดิน ซึ่งน่าจะเป็นคูเมืองโบราณเมืองครุฑ ที่มองเห็นขุนเขาปราการธรรมชาติรอบทิศทาง
อาจารย์วรณัย พงศาชลากร ได้ให้ความเห็นว่า ในอดีต เมืองครุฑคงเป็นเมืองบริวารหน้าด่านของเมืองสิงห์ ป้องกันศัตรูจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งเป็นเมืองเพื่อเป็นฐานในการเก็บเกี่ยวทรัพยากรจากป่าในพื้นที่ใกล้เคียงให้กับเมืองสิงห์
หลังจากนั้นผมได้ขับรถไปต่อ เพื่อจะเข้าสู่ใจกลางเมืองโบราณ มีพิกัดสำคัญคือพุ่มไม้ 2 พุ่ม ท่ามกลางไร่อ้อยของชาวบ้าน ซึ่งพบว่าจะต้องเดินเข้าไปจากถนนลูกรังอีกราว 200 เมตร เพราะไม่สามารถนำรถเก๋งเข้าไปได้ เป็นตำแหน่งสำคัญที่พบครุฑหินทรายขนาดใหญ่ที่สุดในไทย
ผมได้จอดรถไว้ริมถนนลูกรัง เพื่อเดินต่อเข้าไป ซึ่งยังถือว่ามีความโชคดีที่ต้นอ้อยยังไม่สูงมาก เพราะถ้าสูงกว่านี้ มีโอกาสหลงทางในดงอ้อยแน่นอน อีกทั้งบรรยากาศช่างดูหลอนๆพิกล เพราะผมเดินเข้าไปคนเดียว สำหรับท่านที่สนใจมาเที่ยวชม แนะนำว่า หาใครมาเป็นเพื่อนจะดีกว่า จะได้ไม่วังเวงใจครับ
การเดินทางในวันนี้ อาจจะไม่เห็นอะไรมากนัก เพราะกลางเมืองโบราณ ถูกปกคลุมไปด้วยกอไผ่ ซากศิลาแลงคงจมอยู่ใต้ดินยากแก่การมองเห็น ทั้งนี้กรมศิลปากรได้เข้าสำรวจเมื่อปี พ.ศ.2534 แต่ไม่ได้ขุดแต่ง เพราะแทบไม่เหลือความสมบูรณ์เลย ยกเว้นเศษศิลาแลงกระจัดกระจายเท่านั้น
แนะนำอีกครั้ง สำหรับท่านที่จะเดินทางไปชม ขอให้มีเพื่อนไปด้วยนะครับ เพราะเส้นทางเปลี่ยว และถ้าใช้รถยกสูงเข้าไปจะสะดวกกว่าครับ
สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณการติดตามแล้วพบกันใหม่ในโอกาสต่อไป สวัสดีครับ / แอดมินลุงตั้ม (นายยุทธนา ผิวขม)
ช่องทางการติดตาม
Facebook เพจภารกิจเที่ยววัด – Faiththaistory.com
Facebook กลุ่มเที่ยววัดและโบราณสถาน