วัดราชบรรทม (เขาตะเภา) ตามรอยพระพุทธบาทและตำนานลพบุรี (เจ้ากงจีน)

By | March 1, 2016


https://youtu.be/7Dd52xRZ460

จากบทความเรื่องราวการเดินทางท่องเที่ยววัดก่อนหน้านี้ “ภารกิจเที่ยววัด ตามรอยตำนานลพบุรี ผมได้เขียนเรื่องราวเกริ่นนำเกี่ยวกับตำนานลพบุรี ในตอนเจ้ากงจีน ผมจึงมาเขียนเรื่องราวการเดินทางไปยังแต่ละวัดให้บทความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

บทความนี้ ผมจะพาทุกท่านเดินทางไปยังวัดราชบรรทม ซึ่งตั้งอยู่เชิงเขาตะเภา ในเขตตำบลเพนียด อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี นอกจากจะเกี่ยวข้องกับตำนานลพบึรี ในตอนเจ้ากงจีนแล้ว ยังเป็นการเดินทางตามรอยพระพุทธบาท ที่ได้บันทึกไว้ในหนังสือ “ตามรอยพระพุทธบาท” เล่มที่ 1 โดยพระชัยวัฒน์ อชิโต อีกด้วย รวมถึงมีประวัติความเก่าแก่ของสถานที่ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารยณ์มหาราช

เริ่มการเดินทางไปวัดราชบรรทม

การเดินทางตามรอยตำนานลพบุรี และตามรอยพระพุทธบาทครั้งนี้ เราออกเดินทางกันตั้งแต่เช้าราวๆ 7 โมงเช้า จากพระนครศรีอยุธยา ตรงไปยังอำเภอท่าวุ้งเพื่อไปรับสมาชิกที่จะเดินทางไปด้วยกัน กลุ่มสมาชิกทั้งสิ้น 3 คนมาถึงอำเภอท่าวุ้งเวลา 8 โมงเช้า ก็รีบออกเดินทางไปวัดราชบรรทมทันที

การเดินทางไปยังวัดราชบรรทม ถือว่าเดินทางได้ค่อนข้างสะดวก เพราะซุ้มประตูวัดติดริมถนน สังเกตุได้ง่าย โดยผมใช้ GPS นำทางเป็นหลัก พวกเราขับรถไปยังอำเภอโคกสำโรงและสนทนากันไปตามประสาทีมงานที่รู้ใจเดินทางมาด้วยกันหลายทริป ต่างคนต่างมีเรื่องราวคุยกันอย่างสนุกสนานตลอดเส้นทาง

ใช้เวลาไม่นาน เราก็เดินทางมาถึงวัดราชบรรทม ซึ่งใช้เวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง… เมื่อมาถึงก็ได้พบบรรยากาศในวัดที่ค่อนข้างเงียบ มีเพียงคนงานในวัด ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ในการก่อสร้างในวัด ซึ่งในวัดหลายๆจุดมีการก่อสร้างอยู่ครับ

พระในวัดแนะนำสถานที่

พระในวัดแนะนำสถานที่

เราเดินกันเข้ามา ก็พบกับพระสงฆ์ 2 รูป จึงเข้าไปสอบถามเรื่องสถานที่ ก็ได้รับเมตตาจากท่านได้แนะนำการเดินทางเที่ยวชมสถานที่เป็นอย่างดี โดยท่านบอกว่าภายในวัดมีมณฑปพระพุทธบาท และสามารถเดินขึ้นเขาไปชมและกราบไหว้พระพุทธรูปสลักบนหินด้านบนเขาตะเภา และมีพระพุทธรูปปางไสยาสน์สลักบนหินองค์ใหญ่บริเวณเชิงเขาด้วย

เดินไปยังมณฑปพระพุทธบาท

เดินไปยังมณฑปพระพุทธบาท

จากนั้นกลุ่มของเราเดินทางไปยังมณฑปพระพุทธบาทซึ่งตั้งอยู่เชิงเขา

พระพุทธรูปปางห้ามสมุทร

พระพุทธรูปปางห้ามสมุทร

บริเวณด้านหน้ามณฑป จะมีการประดิษฐานพระพุทธรูปปางห้ามสมุทร และมีศาลเจ้าแม่ ซึ่งผมคิดว่าคงเป็นเจ้าแม่นงประจันทร์ (อันนี้เดาเอาครับ) เพราะเกี่ยวข้องกับตำนานเจ้ากงจีน ทั้งนี้ผมได้สอบถามคนงานในวัด ก็ไม่สามารถให้คำตอบได้

ศาลเจ้าแม่

ศาลเจ้าแม่

มณฑปพระพุทธบาท

มณฑปพระพุทธบาท

มณฑปพระพุทธบาท

มณฑปพระพุทธบาท

ด้านหน้ามณฑปพระพุทธบาท มีรูปปั้นช้าง 2 เชือก และที่บันไดเป็นพญานาค 2 เศียร

เกี่ยวกับช้าง มีประวัติว่า ที่ตำบลเพนียดแห่งนี้ ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้เสด็จมาคล้องช้าง ณ สถานที่นี้ และได้ค้างแรม จึงเป็นเหตุแห่งชื่อ “วัดราชบรรทม”

รอยพระพุทธบาท

รอยพระพุทธบาท

ภายในวิหารประดิษฐานรอยพระพุทธบาทเบื้องขวาขนาดใหญ่ ซึ่งสังเกตุลักษณะแล้วน่าจะมีความเก่าแก่พอสมควร แต่สร้างในยุคสมัยไหนนั้น เรื่องนี้ผมไม่ทราบข้อมูลนะครับ เดี๋ยวกล่าวไปผิดๆ จะไม่เป็นผลดี

เก็บกิ่งไม้และใบไม้ออกจากรอยพระพุทธบาท

เก็บกิ่งไม้และใบไม้ออกจากรอยพระพุทธบาท

ภายในมณฑป มีสภาพพื้นค่อนข้างรกไปด้วยกิ่งไม้และใบไม้ที่ถูกลมพัดปลิวเข้ามา …เสียดายที่การเดินทางครั้งนี้ผมไม่ได้เตรียมอุปกรณ์ทำความสะอาดมาด้วย ซึ่งโอกาสต่อๆไปผมจะเตรียมความพร้อมมาให้มากกว่านี้ครับ

เราจึงใช้วิธีการเก็บกิ่งไม้และใบไม้ออกจากรอยพระพุทธบาท ให้สะอาดขึ้นเท่านั้น

กราบรอยพระพุทธบาท

กราบรอยพระพุทธบาท

จากนั้นกลุ่มของเราก็เดินออกจากมณฑปรอยพระพุทธบาท เพื่อเดินขึ้นสู่เขาตะเภาต่อไป สำหรับความสูงชันของบันไดทางขึ้นนั้นถือว่าไม่มากนัก น่าจะอยู่สักราวๆ 30 – 40 องศา ส่วนความสูงไม่น่าเกิน 300 ขั้น มีรอยแตกชำรุดของบันไดเป็นจุดๆ แต่ก็ยังสมารถเดินขึ้นได้สะดวกครับ

ศาลบริเวณทางขึ้นเขา

ศาลบริเวณทางขึ้นเขาตะเภา

ทางขึ้นเขาตะเภาจะมีศาลตั้งอยู่ ซึ่งกลุ่มผมก็ได้ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อนเดินขึ้นเป็นธรรมเนียมเสมอๆ

ก่อนเดินขึ้นเขา ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก

ก่อนเดินขึ้นเขา ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก

สภาพบรรยากาศค่อนข้างแห้งแล้งเพราะวันเดินทางเป็นช่วงเข้าสู่ฤดูร้อนแล้วหล่ะครับ แต่ก็ยังดีที่วันนี้ ยังมีบรรยากาศที่ไม่ร้อนมากยังมีลมเย็นๆพัดมาให้ได้ผ่อนคลาย

เดินขึ้นเขาตะเภา

เดินขึ้นเขาตะเภา

เราใช้เวลากันไม่มากนัก เพราะระยะทางสั้นๆ แต่ก็เล่นเอาเหนื่อยหอบเหมือนกัน และที่สำคัญคือผมพลาดที่ลืมพกน้ำดื่มขึ้นมาด้วย ถ้าอากาศร้อนกว่านี้คงลำบากน่าดู

ถึงที่หมาย

ถึงที่หมาย

เมื่อเดินขึ้นมาถึงที่หมาย เราจะได้เห็นรูปสลักพระพุทธรูปปางไสยาสน์แบบตะแคงซ้ายสลักบนหิน ดูแล้วก็น่าจะมีความเก่าแก่พอสมควร รูปลักษณะดูมีความสมบูรณ์ดีครับ และพบปากถ้ำเล็กๆ ภายในมีรูปแกะสลักพระพุทธรูปปางสมาธิด้วยเช่นกัน

พระพุทธรูปปางไสยาสน์ (ตะแคงซ้าย) สลักบนหิน

พระพุทธรูปปางไสยาสน์ (ตะแคงซ้าย) สลักบนหิน

ภายในถ้ำ

ภายในถ้ำ

รูปสลักพระพุทธรูปปางสมาธิ ภายในถ้ำ

รูปสลักพระพุทธรูปปางสมาธิ ภายในถ้ำ

สมาชิกนักเดินทางต่างตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่ได้พบเห็น ต่างก็พิจารณาและสนทนาวิเคราะห์กันไปต่างๆนาๆ ตามประสาครับ

สมาชิกพิจารณาพระแกะสลัก

สมาชิกพิจารณาพระแกะสลัก

ณ จุดนี้ สมาชิกทุกคนก็ต่างพากันถ่ายรูปเก็บข้อมูลเรื่องราว นั่งพักกันคนละจุดตามอัธยาศัย … ข้อดีของการเดินทางมาตั้งแต่เช้าคือแสงอาทิตย์ยังถูกบังด้วยภูเขา ทำให้ไม่ร้อนและได้ชมบรรยากาศด้านบนได้อย่างสบายใจ

นั่งบันทึกข้อมูลการเดินทาง

นั่งบันทึกข้อมูลการเดินทาง

สนทนาเรื่องราวตำนานลพบุรี

สนทนาเรื่องราวตำนานลพบุรี เบื้อหน้าเยื้องไปทางขวา จะเห็นเขาจรเข้ ซึ่งเป็นหนึ่งในตำนานเช่นกัน มีลักษณะเป็นหัวจระเข้ทอดยาวไป

เราได้ใช้เวลาด้านบนเขาตะเภานานพอสมควร และสนทนาเรื่องเล่าตำนานเมืองลพบุรีเกี่ยวกับเขาตะเภา ซึ่งผมได้เขียนเรื่องราวไว้แล้วในบทความ “ภารกิจเที่ยววัด ตามรอยตำนานลพบุรี ครั้งที่ 1”  ซึ่งผมจะขอถอดความออกมาให้อ่านอีกครั้ง ดังนี้

ตำนานลพบุรี ตอนเจ้ากงจีน

ตามตำนานเรื่องเล่าสืบต่อกันมานานแสนนาน เมื่อครั้งที่ลพบุรีเป็นเมืองท่าสำคัญได้มีการทำการค้ากับชาวจีน โดยชาวจีนจะล่องเรือสำเภานำสินค้ามาแลกเปลี่ยนกับชาวลพบุรี ครั้งหนึ่งเศรษฐีจีนที่ทำการค้า บางคนเรียกว่าเจ้ากงจีน เป็นชาวจีนที่มีบทบาทในการทำการค้าในสมัยนั้น และบ่อยๆครั้งมักจะสู่ขอหญิงสาวมาเป็นภรรยาของตนในทุกที่ ที่ตนเดินทางไป และครั้งนี้ก็เช่นกัน…เศรษฐีจีนได้ตกหลุมรักนางนงประจันทร์ ชาวเมืองลพบุรี จึงได้เดินทางไปสู่ขอนางกับพ่อของนาง ฝ่ายพ่อของนางนงประจันทร์เห็นว่าสินสอดที่มาสู่ขอนั้น มีจำนวนมากจึงได้ตอบตกลงไป

ฝ่ายนางนงประจันทร์ มีคนรักอยู่แล้ว จึงไม่ได้คล้อยตามพ่อและไม่มีความต้องการที่จะแต่งงานกับเศรษฐีจีน…เรื่อง การสู่ขอนี้ ทราบไปถึงคนรักของนางนงประจันทร์ซึ่งเป็นคนที่มีวิทยาคมแก่กล้า สามารถแปลงกายเป็นอะไรก็ได้ จึงได้คิดขัดขวางการสู่ขอครั้งนี้

เมื่อ ถึงฤกษ์การสู่ขอ ฝ่ายเศรษฐีจีนได้ยกขบวนเรือสำเภาเดินทางมาจากจีน ในขณะเรือใกล้จะถึงฝั่ง คนรักของนางนงประจันทร์ได้แปลงกายเป็นจรเข้ยักษ์ขวางขบวนเรือสำเภา ทำให้เรือสำเภาหันหัวเรือหลบหนีเส้นทาง ฝ่ายจรเข้เห็นว่าเรือสำเภาเปลี่ยนเส้นทางหนี จึงได้ไล่กวดเรือสำเภานั้น จนเรือใกล้ล่มฝ่ายลูกเรือจีนจึงพากันกระโจนลงจากเรือซึ่งบริเวณตรงนี้ได้เกิด ภูเขาที่ชื่อว่า “เขาจีนโจน” และได้พากันว่ายน้ำหนีเอาตัวรอด และชะเง้อมองขันหมาที่ล่องลอยในทะเล ตรงบริเวณนั้นได้เกิดภูเขาชื่อ “เขาจีนแล” ปัจจุบัน เขาจีนโจนและเขาจีนแลอยู่ในเขตห้วยซับเหล็ก อำเภอเมืองลพบุรี และมีวัดเขาจีนแลหรือวัดเวฬุวันในลพบุรี

ส่วนเรือสำเภาได้ค่อยๆล่มลง บริเวณที่เรือสำเภาล่ม ต่อมาได้กลายเป็น “เขาตะเภา” ปัจจุบันอยู่ที่ ตำบลเพนียด อำเภอโคกสำโรง ซึ่งมีวัดราชบรรทม ตั้งอยู่ที่เชิงเขา

ภาพเขียนตำนานเจ้ากงจีน : จระเข้ยักษ์เข้าโจมตีเรือสำเภาจีน ภาพจากหนังสือตำนานลพบุรี โดยวรวิทย์ วงษ์สุวรรณ์

ภาพเขียนตำนานเจ้ากงจีน : จระเข้ยักษ์เข้าโจมตีเรือสำเภาจีน
ภาพจากหนังสือตำนานลพบุรี โดยวรวิทย์ วงษ์สุวรรณ์

หลัง จากเรือสำเภาล่ม ข้าวของสินสอดมากมายได้ลอยกลางเทไปตามคลื่นลม ผ้าแพรอย่างดีที่เก็บพับมาสู่ขอได้ล่องลอยไปติดบริเวณหนึ่งและได้เกิดเป็น ภูเขาที่ชื่อ “เขาพับผ้า” หรือ “เขาหนีบ” ปัจจุบันเขาลูกนี้ตั้งอยู่ห่างเมืองลพบุรีไปทางทิศตะวันออกราวๆ 8 กิโลเมตร และมีวัดเขาหนีบ

ส่วนแก้วแหวนเงินทองต่างๆ ได้จมลง และได้เกิดภูเขาที่ชื่อ “เขาแก้ว” เป็นภูเขาที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยว… บนยอดเขามีวัดชื่อ วัดแก้วหรือวัดคีรีรัตนาราม (โอกาสหน้าผมจะไปเที่ยวที่วัดนี้ครับ)

ตะกร้าใส่ของต่างๆ ได้ล่องลอยไปและจมลง เกิดภูเขาที่ชื่อ “เขาตะกร้า” ปัจจุบันตั้งอยู่ติดอ่างเก็บน้ำซับเหล็ก และมีวัดเขาตะกร้าทอง ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นวัดสุวรรณคีรีปิฎก ส่วนขนมต่างๆ ได้ลอยและจมใกล้ๆกัน เกิดภูเขาชื่อ “เขาขนมบูด” ซึ่งมีเรื่องเล่าว่าเมื่อหยิบหินบริเวณนี้มาดม จะมีกลิ่นเหม็นบูด (ทริปต่อไป ผมจะไปพิสูจน์ครับ น่าสนุกดีจริงๆ ฮ่าๆ)

ที่ นี้เรามาต่อเรื่องราวของนางนงประจันทร์ซึ่งคอยเฝ้าสังเกตุการณ์บนฝั่ง ได้มองเห็นเรือสำเภาล่มลง ก็ดีใจกระโดดโลดเต้นจนพลาดตกทะเลถึงแก่ชีวิต บริเวณที่นางนงประจันทร์เสียชีวิตได้เกิดภูเขาชื่อ “เขานางประจันทร์” ต่อมาได้เพี้ยนเป็นเขาวงพระจันทร์ในปัจจุบัน และเป็นที่ตั้งของวัดเขาวงพระจันทร์ ที่เหล่านักเดินทางนิยมเดินขึ้นเขาเพื่อทดสอบกำลังใจ ด้วยความสูงถึง 3,790 ขั้นบันได

ฝ่าย จระเข้ เมื่อเห็นนางนงประจันทร์ตกทะเลเสียชีวติก็เกิดความเสียใจ รวมถึงความเหน็ดเหนื่อยในการไล่ล่าเรือสำเภาจึงขาดใจตายใกล้บริเวณเรือสำเภา ล่ม เกิดเป็นภูเขาชื่อ “เขาจรเข้” ซึ่งปัจจุบันเป็นพื้นที่วัดเขาจรเข้ ใกล้กับวัดราชบรรทมที่เขาตะเภานั่นเอง

บทความจาก : www.faiththaistory.com/lopburi-legend-1

ได้เวลาเดินทางกลับ

หลังจากบันทึกเรื่องราวการเดินทางกันแล้ว ก็ถึงเวลาเดินทางลงจากเขา เพื่อไปชมสถานที่อื่นในวัดต่อไป สำหรับการเดินทางครั้งนี้รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูกเพราะอากาศไม่ร้อน และเดินทางมากับทีมที่รู้ใจกัน และเอื้อเฟื้อต่อกันทำให้เกิดทริปการเดินทางที่ค่อนข้างบ่อยกับทีมนี้

ซึมซับบรรยากาศบนเขาตะเภา

ซึมซับบรรยากาศบนเขาตะเภา

เดินลงเขา

เดินลงเขา

เมื่อเดินลงเขากันครบ ก็มีเรื่องราวที่น่าแปลกประหลาด มีน้องหนึ่งในสมาชิกนักเดินทาง ซึ่งเดินตามหลังลงเขามาเป็นคนสุดท้าย ได้เล่าเรื่องแปลกให้ฟังว่า

พี่ๆ ผมจะเล่าอะไรให้ฟัง ช่วงที่เดินลงเขา ผมเดินตามหลังพวกพี่เพื่อเก็บภาพ ระหว่างเดินลงมานั้น ได้ยินเสียงผู้หญิงเป็นเสียงเล็กๆ แว่วมาว่า “มาไหว้พระเหรอ” ตอนแรกที่ผมได้ยิน ก็คิดว่าหูแว่ว จึงเดินลงมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ปรากฏว่า ได้ยินเสียงแว่วมาอีกครั้งเช่นเดิมว่า “มาไหว้พระเหรอ” เล่นเอาเราขนลุกไปตามๆกัน … ทั้งนี้กลุ่มเราก็ยังคิดว่าเป็นหูแว่ว จึงเดินมาไหว้ศาลเจ้าแม่กันอีกครั้ง… ในใจผมก็คิดว่าอาจจะเป็นสิ่งเร้นลับที่เราไม่รู้ก็ได้ครับ

ถ่ายรูปพระแกะสลักด้านล่าง

ถ่ายรูปพระแกะสลักด้านล่าง

หลังจากนั้นเราก็พากันเดินไปชมพระพุทธรูปปางไสยาสน์แกะสลักจากหิน ด้านล่างซึ่งสร้างขึ้นมาภายหลัง มีลักษณะตะแคงขวา

พระพุทธรูปแกะสลักบนหินด้านล่าง

พระพุทธรูปแกะสลักบนหินด้านล่าง

 

พระอุโบสถวัดราชบรรทม

พระอุโบสถวัดราชบรรทม

เรือนไม้เก่าในวัด

เรือนไม้เก่าในวัด

เมื่อเราต่างถ่ายรูปกันจนหนำใจเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึกเรียบร้อยแล้ว กลุ่มของเราก็เดินทางต่อไปยังวัดเขาจรเข้ ซึ่งเป็นวัดในเป้าหมายของการตามรอยตำนานลพบุรีเช่นกัน แล้วพบกันในบทความนะครับ…ขอขอบคุณในการติดตาม… สวัสดี…

ช่องทางการติดตามเรื่องราว ภารกิจเที่ยววัด

ติดตามเรื่องราวผ่าน Facebook เพจได้ที่ www.facebook.com/faith108

หรือติดตามช่อง YouTube Channel ได้ที่ www.youtube.com/FaithThaiStory

ร่วมแชร์ประสบการณ์การท่องเที่ยววัดด้วยกัน ได้ที่ กลุ่มรวมพลคนชอบเที่ยววัด