เที่ยว ทำบุญ ไหว้พระ วัดพระพุทธบาท สระบุรี ตอนพิเศษ
ก่อนหน้านี้ผมได้เขียนบทความ เที่ยวทำบุญ วัดพระพุทธบาท สระบุรี ไว้ แต่บทความได้เขียนถึงเฉพาะเรื่องรอยพระพุทธบาทและการเดินทางเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว สถานที่ภายในวัดมีอีกมากมาย และผมก็ได้มีโอกาสเดินทางไปอีกครั้ง และเก็บรายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อมาเขียนตอนพิเศษนี้
ครั้งนี้ผมจะพาท่านไปในสถานที่ต่างๆให้มากที่สุด ที่บอกว่ามากที่สุด เพราะอาจจะพลาดในจุดเล็กๆ บางจุด
ก่อนไปยังสถานที่ต่างๆ ผมจะขอกล่าวถึงประวัติคร่าวๆของวัดพระพุทธบาทกันสักเล็กน้อยดังนี้
วัดพระพุทธบาท ราชวรมหาวิหาร สร้างในสมัยพระเจ้าทรงธรรม ซึ่งเป็นพระมหากษัติริย์องค์ที่ 22 แห่งกรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ. 2167 รวมอายุจนถึงปัจจุบันก็เกือบสี่ร้อยปีแล้วครับ
เนื่องจากพระเจ้าทรงธรรมได้เสด็จพระราชดำเนินเพื่อมาทอดพระเนตรรอยพระพุทธบาท ที่พบอยู่บนเขาสุวรรณบรรพต และทรงพิจารณาพบว่ามีสภาพสมบูรณ์ตามที่ปรากฏในพระไตรปิฎก ว่าด้วย บุณโณวาทสูตร จึงทรงพระราชศรัทธาเลื่อมใสยิ่ง โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระมหามณฑปครอบรอยพระพุทธบาท ให้ยกสถานที่รอยพระพุทธบาทเป็นพระมหาเจดีย์สถาน และให้สร้างวัดพื่อจะได้มีผู้ดูแลรักษาพระมหาเจดีย์ รวมถึงให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม ตลอดจนได้พระราชทานวิสุงคามสีมานับจากมณฑปออกไปด้านละ 16 กิโลเมตรเป็นเขตวัดพระพุทธบาท
พระมหากษัติริย์แทบทุกพระองค์ถือเป็นพระราชประเพณีเสด็จพระราชดำเนินมาถวายสักการะบูชาและบูรณะปฏิสังขรณ์ สืบมาจนถึงทุกวันนี้ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ให้สถาปนาวัดพระพุทธบาทเป็นพระอารามหลวงชั้นเอกพิเศษ ระดับ “ราชวรมหาวิหาร” ซึ่งมีอยู่เพียง 6 วัดเท่านั้น ได้แก่ วัดพระเชตุพนวิมลมังคราราม วัดอรุณราชวราราม วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ วัดสุทัศน์เทพวราราม สำหรับ 4 วัดแรกนั้น ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร ส่วนอีก 2 วัดจะตั้งอยู่ต่างจังหวัดได้แก่ วัดพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม และ วัดพระพุทธบาท ราชวรมหาวิหาร จังหวัดสระบุรี
จุดแรกที่ผมจะพาไปก็คือศาลาด้านหน้าพระมณฑปรอยพระพุทธบาท เพื่อจุดธูปเที่ยนบูชารอยพระพุทธบาทกันก่อน
บันไดพญานาคห้าเศียรสามสาย ตั้งอยู่ทิศตะวันตก เป็นบัไดที่พระมหากษัตริย์และพระราชสงศ์ใช้เสด็จเพื่อขึ้นนมัสการรอยพระพุทธบาท นาคห้าเศียรได้ทำการหล่อขึ้นในสมัยพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตยโกสินทร์) ประจำเชิงบันได 2 สาย ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ให้สร้างบันไดเพิ่มขึ้นอีก จึงรวมเป็น 3 สายอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
ผมเดินเข้ามาในพระมณฑปที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาท ็ได้พบเห็นผู้คนที่ศรัทธาตั้งจิตอธิษฐานบูชากันอย่างตั้งใจ และเราสามารถที่จะทำการปิดทองลงที่รอยพระพุทธบาทได้เลยครับ ส่วนรอยพระพุทธบาทมีลักษณะเป็นเช่นไร ผมเองก็ไม่สามารถที่จะถ่ายรูปให้ชัดเจนได้เพราะผู้มีจิตศรัทธาได้ทิ้งปัจจัยลงบนรอยพระพุทธบาทจำนวนมากอย่างที่เห็นในรูปครับ
พระมกุฏภัณฑเจดีย์ เป็นเจดีย์ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างด้วยศิลาอ่อนทั้งองค์ เพื่อทำการบรรจุพระบรมธาตุในปี พ.ศ. 2403 ตั้งอยู่ทิศเหนือใกล้กับพระมณฑปพระพุทธบาท
พระวิหารพระพุทธรูปปางปาลิไลยก์ ตั้งอยู่ทางด้านทิศใต้ของพระมณฑป เป็นวิหารก่ออิฐ ถือปูน ประตูหน้าต่างสลักลวดลาย หลังคามุงกระเบื้องไทย เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางปาลิไลยก์ หน้าตักกว้าง 3.5 เมตร องค์สูงตลอดพระรัศมี 9.50 เมตร
ที่มาของพระพุทธรูปปางปาลิไลยก์
พระภิกษุในวัดโฆสิตาราม กรุงโกสัมพี ทะเลาะวิวาทกัน ประพฤติตนเป็นผู้สอนยาก พระพุทธเจ้าทรงระอาพระทัยจึงเสด็จไปจำพรรษาอยู่ในป่าแถบหมู่บ้านปาลิเลยยกะ โดยมีพญาช้างปาลิเลยยกะคอยปรนนิบัติ เมื่อลิงเห็นเข้าก็นำรวงผึ้งไปถวายบ้างแต่ปรากฏว่าพระพุทธเจ้าไม่รับเพราะ ว่าในรวงผึ้งมีตัวอ่อนอยู่เมื่อลิงรู้ดังนั้นก็ดึงตัวอ่อนออกจากลวงผึ้งแล้ว นำไปถวายพระพุทธเจ้าอีกครั้ง พระพุทธเจ้ารับลวงผึ้งที่ลิงนำมาถวาย ครั้นออกพรรษา พระอานนท์พร้อมด้วยคณะพระภิกษุได้มากราบทูลอาราธนาพระพุทธองค์เสด็จกลับพระ เชตวันมหาวิหาร พระพุทธองค์รับอาราธนาจึงเสด็จกลับ ในขณะที่พระพุทธองค์และคณะหมู่สงฆ์กำลังจะออกจากป่า พญาช้างได้เดินตามพระพุทธองค์แต่พระพุทธองค์ทรงห้ามและตรัสให้กลับไปอยู่ป่า ทำให้พญาช้างเสียใจล้มลงขาดใจตายไปเกิดเป็นเทพบุตรบนสวรรค์(ส่วนลิงที่ถวาย รวงผึ้งแก่พระพุทธเจ้าได้ตกจากต้นไม้จนทิ่มตอไม้แหลมตาย แต่บุญกุศลที่ทำไว้ก็ไปเกิดเป็นเทพบุตรบนสวรรค์เช่นกัน) บรรดาพระภิกษุผู้ว่ายากเมื่อทราบว่าพระพุทธองค์เสด็จกลับมายังพระเชตวันมหา วิหาร ก็รีบเดินทางมาเข้าเฝ้าเพื่อแสดงความสำนึกผิด
ที่มา : http://th.wikipedia.org
วิหารคลังล่างปัจจุบันเรียกวิหารจีน สาเหตุที่ได้ชื่อนี้ เนื่องมาจากเป็นที่ออก ฮู้, เตี๊ยบ, ธง ตั้งแต่ พ.ศ. 2470 เป็นต้นมา วิหารหลังนี้จึงได้นามว่า “วิหารจีน” และพุทธศาสนิกชนชาวจีนและชาวไทย ได้มานมัสการรอยพระพุทธบาทจำนวนมาก ต่างมีความเชื่อว่าเป็นที่สถิตของ “พระซำปอกง” และองค์ไฉ่ชิงเอี๊ย (เทพเจ้าแห่งโชคลาภ)
ช่วงที่ผมได้เดินทางมาวัดพระพุทธบาท อากาศจะค่อนข้างร้อนมาก เนื่องจากตรงกับฤดูของปี พ.ศ. 2557 และผมก็รู้สีกว่าปีนี้ร้อนมากเป็นพิเศษซะด้วย แต่ก็ยังมีร่มไม้ให้นั่งพักเหนื่อยกันได้ครับ
ศาลาปักขวด อยู่เชิงเขาโพธิ์ลังกา ด้านทิศใต้ของพระวิหารพระพุทธรูปปาลิไลยก์ โครงสร้างเป็นเสาก่ออิฐถือปูนหลังคามุงกระเบื้องไทย ได้รับการบูรณะเมื่อปี พ.ศ. 2496 และประดิษฐานพระพุทธรูปด้านใน
ศาลาฤาษีจำลองหรือฤาษีหมอ ตั้งอยู่เชิงเขาโพธิ์ลังกา เสาก่ออิฐถือปูนหลังคามุงกระเบื้องไทยสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา ศาลาฤาษีจำลองจะมีอยู่ 2 หลังครับ
จากนั้นผมก็ได้เดินขึ้นบันได เพื่อขึ้นไปยังเขาโพธิ์ลังกา ซึ่งจะมีรอยพระพุทธฉายประดิษฐานอยู่ด้านบนด้วย
เมื่อเดินขึ้นมาสักพัก ก็จะผ่านจุดแรกคือวิหารแกลบ และผมก็ดีใจอย่างมากที่มีแม่ค้าขายเครื่องดื่มไว้บริการ เนื่องจากผมไม่ได้พกน้ำดื่มขึ้นมาด้วย ก็เลยถือโอกาสได้เป็นลูกค้ากันเลย ภายในวิหารแกลบ จะมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่มากมาย สามารถที่จะบูชาสักการะและปิดทองกันได้
แม้อากาศตะร้อนอบอ้าว แต่เนื่องจากช่วงที่ผมได้เดินทางไปที่วัด จะเป็นช่วงที่มีพายุฤดูร้อน ทำให้มีฝนตกกระจาย เป็นเหตุให้ต้นไม้ยังมีสีเขียวให้ชื่นใจระหว่างทางได้ดี ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่แห้งแล้งมากๆ
เดินมาสักระยะ เราก็จะมาถึงจุดสูงสุดของเขาโพธิ์ลังกากันแล้วครับ ถ้่เลี้ยวไปทางซ้ายก็จะพบกับพระสังกัจจายนะ และรอยพระพุทธฉาย ถ้าเดินตรงขึ้นไปจะเป็นจุดชมวิว ถ้าตรงขึ้นไปแล้วเลี้ยวไปทางซ้าย จะพบทางไปถ้ำพระนอน
รอยพระพุทธฉายจะประดิษฐานบนหน้าผา ด้านหลังพระสังกัจจายนะ
วิวทิวทัศน์ด้านบนของเขาโพธิ์ลังกา ดูสวยงามดีมากครับ แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งคือ บนโขดหินจะเห็นรอยจารึกของคนบางกลุ่มที่นำสารเคมี ไม่ว่าจะเป็นสี หรืออะไรก็ตามที่สามารถเขียนบันทึกได้ มาทำการเขียนลงบนก้อนหินด้านบน ตอนแรกผทมยังไม่ได้สังเกตุมอง แต่พอหันหลังมา ก็พบว่าความสวยงามได้ถูกผู้ที่ไม่เห็นคุณค่าได้เขียนจารึกถ้อยคำที่ไม่ได้สร้างสรรค์อะไรเลย ยังไงก็ช่วยให้คำแนะนำกันด้วยนะครับ ความสวยงามต่างๆมันถูกทำให้แย่ลงไปเยอะเลย
หลังจากชมวิวทิวทัศน์สักระยะ ผมก็เดินลงมายังวิหารเขาโพธิ์ลังกา ซึ่งตั้งอยู่ด้านตะวันออกของพระมณฑปพระพุทธบาท สันนิษฐานว่าเขาลูกนี้เรียกว่า “สุวรรณบรรพต” ตามพงศวดาร ส่วนการที่มาเรียกว่า “เขาโพธิ์ลังกา” คงจะมีสาเหตุมาจากการนำพันธุ์ของพระศรีมหาโพธิ์มาปลูกไว้
เมื่อเดินเลยไปเล็กน้อย เราก็จะเห็นป้ายชี้ทางเพื่อไปยังถ้ำพระนอน
เมื่อผมเดินเข้าไปในถ้ำ ก็ไม่เห็นพระนอน มีแต่พระพุทธรูปปางมารวิชัย ผมก็พยายามมองหาแต่ก็ไม่มี และผมก็ยังแปลกใจมาจนถึงทุกวันนี้ว่าทำไมเรียกว่าถ้ำพระนอน แล้วผมจะกลับไปอีกครั้งเพื่อไปถามข้อข้องใจนี้ครับ ก็เป็นอันว่าบนเขาโพธิ์ลังกา เราก็มาครบทุกสถานที่กันแล้ว เดี๋ยวผมจะเดินลงไปด้านล่างเพื่อชมสถานที่อื่นๆต่อเลยครับ
ด้านล่างเมื่อนักท่องเที่ยวได้ทำบุญกันแล้ว มักที่จะมาตีระฆังแขวนในบริเวณนี้
บริเวณใกล้เคียงกับระฆังแขวนจะมีรูปปั้นสัจจพันธ์ฤาษีอยู่ ตามตำนานสัจจพันธ์ฤาษีแต่เดิมนั้นยังไม่ได้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา แต่เนื่องด้วยพระพุทธองค์ทรงหยั่งรู้ว่า ฤาษีจะสามารถมองเห็นธรรมได้ จึงได้เสด็จไปโปรด และทำให้ฤาษีดำรงตนอยู่ตามหลักคำสอนของพระพุทธองค์ได้
ในพระวิหารพระบาทสี่รอย จะมีให้ยกช้างเสี่ยงทายกันด้วยครับ พระวิหารพระบาทสี่รอย สร้างตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ภายในมีรอยพระพุทธบาทโลหะทำซ้อนกันเป็นสี่รอย ซึ่งมีความหมายถึงการเสด็จมาอุบัติของพระพุทธเจ้าทั้งสี่พระองค์ในภัทรกัปนี้ คือ พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ พระกัสสปะ พระสมณโคดม
พระวิหารหลวง หรือพิพิธภัณฑสถานแห่งพระพุทธบาท เดิมนั้นเป็นที่ประทับของเจ้านายฝ่ายในที่ตามเสด็จฯ ในพระวิหารหลวงจะเก็บวัตถุโยราณ ศิลปวัตถุ และมีภูษาของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงเจริญราชศรัทธาบริจาคเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา
ด้านขวาทางขึ้นอนุสรณ์สถานพระเจ้าทรงธรรมจะเป็นวิหารหมอชีวกโกมารภัจจ์ สำหรับบทความตอนพิเศษนี้ ก็ได้มาชมสถานที่ได้จนครบแล้วครับ ถ้าได้มีโอกาสเดินทางมา ก็ลองหาข้อมูลเพื่อที่จะได้ชมสถานที่ต่างๆได้จนครบและไม่เสียเที่ยวกันนะครับ ส่วนท่านที่เหนื่อยล้าจากการเที่ยวชม เนื่องจากวัดมีอาณาเขตที่ค่อนข้างกว้าง ก็สามารถที่จะพักเหนื่อยตามซุ้มต่างๆที่ทางวัดได้จัดไว้ และยังมีร้านอาหารมากมาย รวมถึงของฝากต่างๆจำหน่ายในพื้นที่ของวัด ก็ช่วยไปอุดหนุนกันด้วยนะครับ
>>>สามารถอ่านรายละเอียดการเดินทางและประวัติรอยพระพุทธบาท ได้ที่นี่ <<<
จบการบันทึกตอนพิเศษ เที่ยวทำบุญ ไหว้พระ วัดพระพุทธบาท สระบุรี
ลิ้งค์เพิ่มเติม
หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ไหว้รอยพระพุทธบาท ===> www.faiththaistory.com/lp-pan-prabath